ครึ่งปีหลัง 2567 เหนื่อยกว่าที่คิด หนักกว่าที่คาด

(บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้ผูกพันเป็นความเห็นขององค์กรที่สังกัด)

- ดัชนี RSI ภาพรวมลดลงจาก 57.8 จุดในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 36.7 จุด ในเดือน มิ.ย. ลดลง 21.1 จุด แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงการหดตัวที่ชัดเจนในภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการ

- ดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้า ลดลงจาก 58.2 จุดในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 43.0 จุด ในเดือน มิ.ย. ลดลง 15.2 จุด บ่งบอกว่าผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

- SSSG (MoM) ลดลงจาก 65.8 จุด ในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 39.1 จุด ในเดือน มิ.ย. ลดลง 26.7 จุด บ่งบอกถึงการเติบโตของยอดขายในร้านค้าเดิมที่ลดลง ซึ่งอาจหมายถึงการลดลงของความถี่ในการใช้จ่ายหรือการลดลงของกำลังซื้อของลูกค้า

- Spending per Basket ลดลงจาก 58.9 จุด ในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 37.5 จุด ในเดือน มิ.ย. ลดลง 21.4 จุด บ่งบอกถึงการลดลงของกำลังซื้อของลูกค้า

- Frequency of Shopping ลดลงจาก 58.9 จุด ในเดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 40.0 จุดในเดือน มิ.ย. ลดลง 18.9 จุด บ่งบอกถึงความถี่ที่ลดลงในการซื้อสินค้า ซึ่งอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า

โดยภาพรวม การบริโภคแม้จะยังมีการขยายตัว แต่การเติบโตชะลอลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับปี 2566 ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด เผยว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 2567 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยทะลุ 17.9 ล้านคนแล้ว สร้างรายได้ 825,541 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จาก รายงาน ของ AOT จำนวนเที่ยวบินในประเทศที่ลดลง 24.9% YoY ลดลงมากขึ้นเมื่อเทียบกับที่ลดลง 20.5% ในเดือนพ.ค. สะท้อนว่า ผู้บริโภคคนไทยลดทำกิจกรรมนอกบ้าน การบริโภคเป็นไป แค่ความจำเป็น ในขณะที่ค่าครองชีพก็ยังคงสูง ผู้บริโภคจึงต้องระมัดระวังในการจับจ่าย ในอีกด้านหนึ่ง

ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ค่าสาธารณูปโภคและค่าขนส่งที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงสต็อกสินค้าที่สูงขึ้น จากการสอบถามผู้ประกอบในเดือน มิ.ย. พบว่า 56% ของผู้ประกอบการมีสต็อกสินค้าสูงเกินความเหมาะสม (1-3 เดือน) และ สาเหตุของสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสม 66% เกิดจากยอดขายต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ธุรกิจฟื้นตัว แต่ละภาคไม่เท่ากัน

การฟื้นตัวแต่ละภาคเศรษฐกิจไม่เท่ากัน ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจค้าปลีก กระจุกตัวอยู่ในเขตกรุงเทพปริมณฑลและภาคกลาง ส่งผลต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อในแต่ละภูมิภาคและในแต่ละระดับรายได้แตกต่างกัน กำลังซื้อยังดีอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะฟื้นตัวช้ากว่าภาคอื่นๆ ขณะเดียวกัน กลุ่มที่รายได้น้อย ก็จะฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและมากเช่นเดียวกัน

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา คาดการณ์ภาพรวม ธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-7 % เมื่อเทียบกับ GDP 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2-3.8% แต่เมื่อมีการปรับลด GDP จากหลายสำนัก ส่งผลให้ ธุรกิจค้าปลีกและบริการถูกปรับลดการเติบโตลงมาเป็น 2-5% (ขึ้นอยู่กับประเภทของร้านค้าปลีก)

โดยคาดว่า กลุ่ม Store-base retailing จะกลับมามีมูลค่าเท่าก่อนช่วงโรคระบาด ส่วน Non-store retailing ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยสรุป ภาคการค้าปลีกค้าส่งและบริการ ปี 2567 จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างเนิบๆ

ครึ่งปีหลัง ปี2567 เหนื่อยและหนักกว่าครึ่งปีแรก

ปัจจัยหลักที่จะกดดันการขยายตัวอย่างยากลำบากของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย

1.เงินเฟ้อไม่ลด ดอกเบี้ยก็จะไม่ลดเช่นกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อพลังงานและสินค้าอาหารสด ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยซึ่งมีแนวโน้มจะยังคงสูงต่อไป ปัญหาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาจมีการปรับราคาสูงขึ้นอีก นอกเหนือจากสินค้าราคาแพง สินค้าบางชนิดก็อาจจะขาดแคลนอีกด้วยจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

2.กำลังซื้อไม่เพียงแค่ไม่ฟื้นตัวแต่ยังเหือดแห้ง การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่ำจากรายได้ฟื้นตัวช้าและภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยข้อมูล ณ สิ้น ปี 2566 ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 91.3% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ระดับ 79.8% นอกจากนี้ ยังพบว่าครัวเรือนไทยออมน้อย เป็นหนี้เร็ว และเป็นหนี้นาน

3.ต้นทุนการทำธุรกิจยังคงปรับขึ้นสูงต่อไป ต้นทุนราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ และการขนส่ง และค่าสาธารณูปโภค อาจปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อไป จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กระทบต่อการขนส่งน้ำมันและวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม ที่เพิ่มเติมในครึ่งปีหลังและค่อนข้างวิกฤติก็คือ สต็อกสินค้าสูงเกินความเหมาะสมมาก จากการสำรวจพบว่า 44% มีสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสม มากกว่า 3 เดือน จนถึง 12 เดือน ซึ่งจะส่งผลสภาพคล่องทางการเงินหากไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร็ว จะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งลดลง

4.ผลกระทบจากการปรับค่าจ้างแรงงาน ผู้ประกอบการขนาดเล็กและย่อมอาจจะต้องปิดกิจการเป็นจำนวนมากหากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ สมมติฐาน เมื่อคิดจากวันทำงาน 26 วัน จะได้ว่า ค่าใช้จ่ายนายจ้างด้านแรงงานเพิ่มขึ้น16,942 บาทต่อคนต่อปี หรือประมาณ 1,412 บาทต่อคนต่อเดือน หากสถานประกอบการจ้างงานต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนด 30 คน จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 4,065,990 บาท หากต้องคิดถึงการต้องปรับค่าจ้างตามลำดับขั้นสำหรับลูกจ้างที่ได้ค่าจ้างเกิน 400 บาท อีกหนึ่งก้อน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อาจถึง 5 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น ธุรกิจมียอดขาย 300 ล้าน กำไรสุทธิจะเป็น 3-9 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ อาจถึง 5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากข้อมูล วิสาหกิจขนาดกลางค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจที่มีรายได้ไม่เกิน 50-300 ล้านบาทต่อปี และการจ้างงานไม่เกิน 30-100 คน ซึ่งมีมากกว่า 9 แสนราย

5.โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทให้ประชาชนไทย 50 ล้านคน ในไตรมาส4 ปี 2567 นี้ จะต้องใช้เงินจาก 3 แหล่ง 1) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท 2) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท 3) ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ดูแลกลุ่มเกษตรกร 17 ล้านคนเศษ ผ่านกลไกงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 172,300 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา คาดว่า กว่าจะดำเนินการได้ก็ราวเดือน ธ.ค. ซึ่งอีกกว่า 4-5 เดือน วัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจะไม่ทันกาล

6.เสนอให้ภาครัฐผลักดันโครงการกระตุ้นการจับจ่ายระยะสั้น (ช่วง Low Season ก.ค.-ต.ค.) ก่อนโครงการดิจิทัล วอลเล็ต อาทิ โครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโครงการที่กระจายรายได้ในระดับรากหญ้า ควรนำมาพิจารณา รวมถึง “Easy E-Receipt” ที่กระตุ้นการจับจ่ายของผู้มีรายได้ปานกลางขึ้นไปและยังมีกำลังซื้ออยู่ ให้จับจ่ายได้ในวงเงิน 100,000 บาทในช่วง 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) ซึ่งโครงการนี้ใช้งบประมาณน้อยมาก

ครึ่งปีหลัง ปี 2567 เหนื่อยและหนักกว่าครึ่งปีแรก

ฉบับก่อน จบไว้ที่ปัจจัยหลักที่กดดันการขยายตัวอย่างยากลำบากของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในครึ่งปีหลัง อาทิ เงินเฟ้อไม่ลด ดอกเบี้ยก็จะไม่ลดเช่นกัน กำลังซื้อไม่เพียงแค่ไม่ฟื้นตัวแต่ยังเหือดแห้ง ต้นทุนการทำธุรกิจยังคงปรับขึ้นสูงต่อไป ผลกระทบจากการปรับค่าจ้างแรงงานผู้ประกอบการขนาดเล็กและย่อมอาจจะต้องปิดกิจการเป็นจำนวนมาก โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อาจจะไม่ทันกาล

แนะ 5 กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจตึงตัวครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม เพื่อเอาตัวรอดท่ามกลางวิกฤติระยะสั้น ผู้เขียนขอแนะนำโฟกัส 5 กลยุทธ์สู้ศึกครึ่งปีหลัง ได้แก่

1.Cash is King ครึ่งหลังของปี 2567 จะเป็นอีกปีที่ท้าทายผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่ง ที่ต้องปรับตัวรับกับกำลังซื้อที่หดหาย เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า การบริหารจัดการสภาพคล่องเงินสดที่ดี ถือว่า เป็นจุดเป็นจุดตายของธุรกิจ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ใส่ความพยายามอย่างมากไปที่การลดรายจ่าย แต่ลืมคิดไปว่า เงินสดส่วนใหญ่ไปจมในสต็อกสินค้า สต็อกเปรียบเสมือนเงินสด เพราะสต็อกมีมากๆ และอยู่นานเกินกว่าเครดิตเทอมที่ซัพพลายเออร์ให้ก็จะทำให้กระแสเงินสดขาดสภาพคล่องได้

2.Inventory สำคัญ กว่า เปอร์เซ็นต์ (%) Gross Margin โดยทั่วไป การจัดซื้อของผู้ประกอบการค้าปลีกในบ้านเราจะเจรจาต่อรองด้วยตัวเลข % Gross Margin หรือ Gross Profit (GP) ถ้าอยากได้ % Margin สูงขึ้น ก็ต้องแลกด้วยซื้อเป็นจำนวนมาก (Volume Purchase) แม้กำไรจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าการหมุนรอบของสินค้าต่ำ สิ่งที่ตามมาก็คือ สต็อกมันจะบวม! ก็อาจจะขาดดุลกระแสเงินสดและอาจถึงกับต้องเลิกกิจการได้

3.Customer Focus เป็นการเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก คิดในมุมของลูกค้า คำนึงถึงประสบการณ์การใช้สินค้าและบริการที่ลูกค้าจะได้รับ เพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างเหนือความคาดหวังของลูกค้าซึ่งหมายความว่าเราได้มอบสิ่งที่ดีเหนือกว่าความต้องการของมาตรฐานตลาดทั่วไป มันหมดยุคแล้วที่จะลดราคาโปรโมชั่น เพื่อมุ่งเน้นแต่ยอดขาย Customer Focus เริ่มได้ 3 วิธี คือ 1) การสร้างจิตสำนึกการให้บริการลูกค้า 2) การสร้างวัฒนธรรมบริการ 3) การมุ่งเน้นปรับปรุงรูปแบบการให้บริการลูกค้า

4.Technology in A Must   เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่กว่า 80% อยู่ด้านหลังหรือกองสนับสนุนของธุรกิจ สิ่งที่เห็นที่หน้าร้านหรือภายในร้านเป็นเพียงแค่ 20% ของกิจการ Information Technology และ Logistics เป็น backbone กระดูกสันหลังหลักของการบริหาร Merchandise และ Supply Chain อย่างไรก็ตาม Technology ต้องนำมาประยุกต์ เพื่อ Productivity และ Creativity

5.Growth via Business Partner ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ การร่วมทุนของ Business Partner จะยังคงมีความสำคัญยิ่งและมีความเหมาะสมในการสร้างความสำเร็จในธุรกิจไม่แตกต่างกับยุคดั้งเดิม โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดและสภาพแวดล้อมธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สรุปได้ว่า ภาพรวมของครึ่งปีหลังอาจยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากแนวโน้มที่ลดลงในครึ่งปีแรก แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ เช่น การกระตุ้นจากนโยบายรัฐ หรือการปรับตัวที่เหมาะสมจากธุรกิจ อาจช่วยให้มีการฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและเนิบนาบ

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...