“พิธา” ขออย่าป้ายสีใคร เชื่อ การเลือก สว. ทุกคนมีจุดยืน ส่วนกระแสพรรคใหญ่เก็บตัวผู้สมัคร ขอใช้กลไก กมธ. ตรวจสอบ ยันไม่กังวลปมแก้รัฐธรรมนูญสกัดก้าวไกล โว ชนะในเกมที่เขาดีไซน์ให้เราแพ้มาตลอด
วันที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ จ.สกลนคร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวพรรคการเมืองใหญ่ ซุ่มเก็บตัวผู้ผ่านการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ระดับจังหวัด เพื่อรอการเลือกในระดับประเทศต่อไป ว่า ในการเลือก สว.ครั้งนี้ จริงๆ แล้วการเมืองมีส่วนร่วมมากไม่ได้ตามกฎหมาย แต่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงสังเกตการเลือกในทุกระดับที่ผ่านมา และจะใช้กลไกนี้ในการตรวจสอบว่ากระแสข่าวดังกล่าวมีจริงหรือไม่ แต่ในหลักการตนเชื่อว่าจะได้มาซึ่งสภาสูงที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
ขณะที่มีคำสำคัญในการเลือก สว.ครั้งนี้ ว่ามี สว.สีส้ม รวมไปถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ก็ให้สัมภาษณ์ว่า การเลือก สว.ครั้งนี้ จะมี สว.สีส้ม เข้ามามากนั้น นายพิธา มองเรื่องนี้ว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเติมนามสกุลให้ใครด้วยการไปป้ายสี เพราะเชื่อว่าแต่ละคนก็มีวุฒิภาวะและจุดยืนของตนเอง ซึ่งตามความหมายของตน ก็คงจะเป็นอดีตผู้สื่อข่าว นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ที่ยืนตรงในเรื่องประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีนามสกุลเป็นสีส้ม
...
ส่วนประเด็นที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ระบุ มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ สส. มีที่มาจากระบบเขตทั้งหมด 500 ที่นั่ง ตัดระบบบัญชีรายชื่อออกไปทั้งหมดเพื่อสกัดพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเป็นข้อมูลจากเพื่อนฝูงในพรรคเพื่อไทยนั้น นายพิธา กล่าวว่า ก่อนจะตอบต้องบอกว่าเมื่อวานนี้ตนปฏิบัติภารกิจที่ จ.อุดรธานี และยังไม่มีโอกาสได้ฟังข้อมูลดังกล่าว จึงยังไม่ทราบบริบททั้งหมด แต่ในหลักการคือการแก้รัฐธรรมนูญจะต้องแก้โดยให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ประชาชน ไม่ควรแก้เพื่อให้ประโยชน์ตกอยู่ที่นักการเมือง เป็นหลักที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นต้องเน้นว่า การแก้รัฐธรรมนูญคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนในระยะยาว และทำให้ประชาชนมีสิทธิมีเสียงมากที่สุด ไม่ใช่แก้เพื่อให้พรรคหนึ่งได้ประโยชน์กับการแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อถามต่อไป การแก้ไขไปในทิศทางดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน นายพิธา เผยว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริงในสมัยที่แล้ว คือการแก้ไขสัดส่วน สส.แบบแบ่งเขต จาก 350 คน เป็น 400 คน และปรับสัดส่วน สส.แบบบัญชีรายชื่อ จาก 150 คน เหลือ 100 คน และมีการปรับวิธีการคำนวณ
“ผมไม่ได้กล่าวหาว่าจะทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ประโยชน์ เพราะอย่างไรที่ผ่านมาพรรคของเราก็ชนะอยู่ดีถึงแม้ว่าจะมีการแก้ ดังนั้น ถ้าหลังจากนี้จะมีการปรับสัดส่วนจาก 400 คน ให้มีมากขึ้นไปอีก ผมมองว่ามีความเป็นไปได้ในสภา”
ขณะเดียวกัน นายพิธา กล่าวต่อไป ตนขอยึดหลักสำคัญว่าการแก้รัฐธรรมนูญมีความจำเป็น รัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลา หากจะแก้ต่อไปต้องเอาประชาชนเป็นตัวหลักและให้ประชาชนได้ประโยชน์ อย่าให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ประโยชน์มากกว่ากัน หากกฎหมายสูงสุดของประเทศทำให้การเลือกตั้งหรือการเข้าสู่อำนาจไม่ยุติธรรมและเอนเอียง จะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกต่อไป แทนที่จะสามารถแก้ระเบิดเวลาได้ก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ในที่สุด
“สำหรับพรรคก้าวไกล ไม่กังวลใจอะไร เพราะเอาประชาชนและประเทศเป็นที่ตั้งมาก่อนความสามารถในการแข่งขันของพรรคเสมอ เราเชื่อในตัวเราว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่ารูปแบบเกมจะเป็นอย่างไร เราก็ชนะในเกมที่เขาดีไซน์ให้เราแพ้มาโดยตลอด”