New idea พลิกธุรกิจสร้างดาวรุ่ง | ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

การสร้าง “new idea” ผู้ประกอบการต้องเข้าใจถึง consume insight เข้าใจถึงจิตวิทยาและวิถีชีวิตของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ถ้าเรามองเห็น insight มันคือเส้นผมบังภูเขา เมื่อดึงเส้นผมออก new idea จะเกิดขึ้นทันที

new idea จะสร้างคำตอบใหม่กับปัญหาเก่าที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ดีขึ้นกว่าเดิม ผลิตภัณฑ์คุณจะเป็นดาวเหนือที่ไม่มีคู่แข่งมาเทียบรัศมี

ที่ Manhattan’s west village ในเมือง New York มีอาคารที่จอดรถสี่ชั้น สร้างตั้งแต่ปี 1930 สภาพภายนอกดูเหมือนกับโรงงาน ด้วยความที่อายุเกือบร้อยปี อาคารนี้จึงดูเก่า มีผู้ประกอบการตาถึงคนหนึ่งซื้ออาคารนี้ด้วยมูลค่า 64 ล้านดอลลาร์ในปี 2022

คำถามผู้ประกอบการคนนี้เห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น ถึงกล้าซื้ออาคารเก่านี้มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรูระดับหกดาว

เริ่มต้นต้องเล่าอย่างนี้ครับว่า คนรวยระดับมหาเศรษฐีในสหรัฐ โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิงต้องการความเป็นส่วนตัว สิ่งที่พวกเขารำคาญมากที่สุดคือพวก paparazzi ช่างภาพอิสระที่ตามแอบถ่ายรูปไปขายให้สื่อ คนดังเหล่านี้จึงต้องหลีกหนีซ่อนตัวจากความอยากรู้อยากเห็น เพื่อใช้ชีวิตส่วนตัวตามที่ตัวเองต้องการ

คนดังในวงการบันเทิงหรือวงการธุรกิจถือว่า “ความเป็นส่วนตัว” คือความหรูหราที่พวกเขาใฝ่หา นี่คือ insight ที่ผู้ประกอบการคนดังกล่าวตีโจทย์แตก เขารักษารูปแบบของอาคารภายนอกไว้เหมือนเดิม เพื่อให้อาคารมี low key appearance เพียงเติมแต่งสิ่งที่เสียหายอย่างให้มีความสมบูรณ์

ดูจากภายนอกเหมือนอาคารจอดรถ แต่ภายในพัฒนาเป็นที่พักหรูมีทั้งหมดเพียง 7 ห้อง สองห้องเป็น penthouse สองห้องเป็น townhouse อีกสามห้องเป็น loft style house เพียงแค่เริ่มเปิดตัวโครงการ มีคนดังซื้อไปแล้วสามห้องเป็นมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์

โครงการนี้ไม่มีการทำการตลาดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคนดังที่จะมาเป็นเจ้าของไม่ต้องการให้สาธารณชนรู้ว่าอาคารจอดรถนี้คือที่พักของพวก super rich วิธีขายคือ “การบอกต่อ”

มีการประเมินว่าถ้าโครงการทำเสร็จในปี 2026 มูลค่ารวมของการขายห้องหรูทั้ง 7 ห้องอยู่ที่ 245 ล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นที่พักอาศัยราคาแพงติดอันดับของเมือง New York พูดง่ายๆ อาคารจอดรถนี้เปรียบเสมือน “หลุมหลบภัย” ของคนดัง

คนทั่วไปจะไม่ทราบเลยว่ามีคนมีชื่อเสียงพักอาศัยในอาคารนี้ ในมุมกลับที่พักอาศัยตกแต่งแบบสุดหรูตอบโจทย์ที่คนดังอยากใช้ชีวิตตาม life style

ของตนเอง ก่อนหน้าที่จะมีการซื้อขายอาคารนี้ Steve Ells ผู้ก่อตั้ง Chipotle แบรนด์อาหารชื่อดังในสหรัฐก็สนใจอยากจะซื้ออาคารนี้เช่นกัน แต่สุดท้าย Ells ไปซื้อตึกข้างๆ สร้างเป็นคฤหาสน์ของครอบครัว นี่เป็นการยืนยันว่าคนที่มีชื่อเสียงต้องการ “ความเป็นส่วนตัว” ไม่ต้องการให้สาธารณชนมายุ่มย่ามกับชีวิต

ผมไม่ได้บอกว่าแนวคิดนี้สามารถนำมาใช้ได้ในบ้านเรา เพราะ “วิธีคิด” ของคนดังในบ้านเรากับในสหรัฐไม่เหมือนกัน ที่ยกตัวอย่างนี้เพื่อสื่อว่าถ้าผู้ประกอบการอ่านเกมขาด เข้าใจ insight แบบเฉียบแหลม คุณจะสร้าง new idea พลิกธุรกิจคุณให้เป็น “ห่านทองคำ”

Elizabeth Pearson กับสามีแต่งงานมานาน 16 ปี ครึ่งหนึ่งของชีวิตคู่ คนทั้งสองแยกห้องกันนอน ทั้งคู่เป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ และมีความเห็นว่าเวลาเดินทางไปต่างประเทศคนทั้งสองนอนในโรงแรม คุณภาพของการนอนดีมาก ในทางกลับกันเมื่ออยู่บ้านคนทั้งสองเวลานอนห้องเดียว คุณภาพในการนอนแย่มาก

Elizabeth ไม่พอใจตัวสามีมากที่นอนกรนเหมือนเครื่องจักรทำงาน มากไปกว่านั้นสามีชอบละเมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งตัวสามีละเมอขนาดหนัก เอามือไปชกหน้าภรรยา ทั้งคู่มีความเห็นร่วมกันว่าการนอนในห้องเดียวกัน ทำให้ตื่นเช้าทั้งคู่มีความพร้อมของร่างกายที่ “โทรมมาก”

ทั้งคู่เลยตกลงกันว่าทางออกที่ดีที่สุดคือ “sleep divorce” สร้างห้องนอนที่เป็น master bedroom สองห้อง ทั้งคู่แยกกันนอน ผลของการแยกห้องนอนทำให้คนทั้งคู่นอนหลับลึก และตื่นเช้ามีความพร้อมแบบเกินร้อย มีพลังที่จะดำเนินชีวิตของแต่ละวันด้วยความสดใส

Elizabethe ให้ความเห็นว่าคนที่ “หลับดี” จะเป็นคนที่มีความอดทน มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดี ที่สำคัญเธอบอกว่า การนอนหลับดีและลึกทำให้เธอกับสามีมีความสุขร่วมกันระหว่างวันดีมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

ผู้อ่านอาจจะมีคำถามว่า การแยกห้องนอนจะมีผลต่อ sex life หรือไม่ Elizabethe ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เมื่อคนทั้งคู่ไม่โกรธกันระหว่างวันอันเกิดจากคุณภาพการนอนที่หลับไม่ดี มันทำให้เรื่องที่พูดถึงดีขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

สถาปนิกที่เชี่ยวชาญเรื่อง sleep divorce ให้ความเห็นเพิ่มเติมการออกแบบห้องนอนของทั้งคู่สามีภรรยา เป็นห้องนอนที่ติดกันและสถาปนิกละเอียดมากไปกว่านั้น ห้องนอนที่เป็น master bedroom จะถูกคั่นกลางด้วยห้องอีกห้องหนึ่งที่คนทั้งคู่ใช้ชีวิตร่วมกันก่อนที่จะไปนอน ใช้ห้องนี้คุยกันก่อนที่ต่างคนต่างแยกไปนอน

สถิติของสถาบันการนอนในอเมริกามีตัวเลขว่า ในยุคนี้สามีภรรยาแยกห้องนอนเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข 43% ของคนรุ่นใหม่จะแยกห้องนอน ในขณะที่คนรุ่นเก่าจะแยกห้องนอน 22%

Mark Harpin ผู้บริหารของ Google ทุกครั้งที่เดินทางไปทำงานที่ Silicon Valley เขาจะไปพักที่โรงแรม Shashi ความพิเศษของโรงแรมนี้คือการจำลองบรรยากาศห้องพักคล้ายกับบ้านของแขก

สิ่งที่แขกทำคือใช้ application ชื่อ Shashi.ai สั่งให้ห้องพักที่ Harpin พักมีแสงแดดยามเช้าคล้ายกับบ้านของเขา สั่งให้อุณหภูมิของห้องตามที่ Harpin ต้องการที่ 65 องศาฟาเรนไฮต์

เมื่อ Harpin เดินเข้ามาในห้องจะมีเสียงเพลงที่เขาชื่นชอบเปิดต้อนรับทันที มากไปกว่านั้นบนจอโทรทัศน์ในห้องพักจะมีภาพภรรยาและลูกสาววัย 7 ขวบปรากฏขึ้นมาทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้อง และไฟในห้องจะเป็นไฟสีชมพูอ่อนๆ เป็นสีเดียวกับห้องลูกสาวของ Harpin

Dispel Gupta เจ้าของโรงแรมนี้ใช้เวลา 4 ปีในการพัฒนาแอปพลิเคชันนี้ เขาให้ความเห็นว่าโลกทุกวันนี้เป็นโลกของ personalization ซึ่งสมัยก่อนทำไม่ได้ แต่ด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้เขาเปลี่ยนห้องพักในโรงแรมเสมือนหนึ่งบ้านของแขกที่มาพัก เป็น living room in a box ด้วยวิธีคิดนี้จะทำให้แขกไม่ไปพักที่โรงแรมอื่นเลย

การลงทุนสร้าง Shashi.ai เป็นเงิน 2,000 ดอลลาร์ต่อห้อง แผนธุรกิจของ Gupta คือจะนำแอปพลิเคชันนี้ขายให้กับโรงแรมอื่น เขาให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่าอุตสาหกรรมโรงแรมใช้แอปพลิเคชันในการบริการลูกค้า ไม่ว่าจะใช้เป็นกุญแจเปิดห้อง หรือสั่งอาหารไปบริการที่ห้องพัก

คำถามคือทำไมไม่ใช้ AI technology สร้าง app ที่ทำให้ลูกค้าได้ประโยชน์มากกว่านั้น เปลี่ยนโรงแรมให้เป็นบ้านของลูกค้า

นี่คือ New idea ที่เปลี่ยน old industry เป็น new industry บทความนี้เป็นบทความสุดท้าย โดยผมจะขอลาผู้อ่านไปอย่างน้อย 3 เดือนเพื่อไปทำภารกิจ แล้วพบกันอีกครั้งนะครับ.

ผู้เขียน ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ