ถอดรหัส 2 'แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ' รัฐบาล ตั้งเป้าดันจีดีพีโตต่อเนื่องปี 67 - 68

หลังจากที่เข้ามาบริหารประเทศได้ 7 เดือนเต็ม รัฐบาล "เศรษฐา1” ได้ประกาศมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา 2 มาตรการ โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะมีผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปในระหว่างปี 2567 – 2568  โดย 2 มาตรการรัฐบาลประกาศออกมาในช่วงก่อนสงกรานต์ปีนี้แล้ว ได้แก่

1.มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เพื่อเตรียมการรองรับการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision)

โดยมาตรการนี้ถือเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลในปี 2567 และมีบางส่วนที่ส่งผลไปยังปี 2568 เช่นมาตรการลดภาษีจากการสร้างบ้านใหม่ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ โดยมาตรการนี้มีผลหลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยกระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 1.7 - 1.8%

 

2.มาตรการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้แถลงข่าวร่วมกับหน่วยงานเศรษฐกิจทั้งกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ ที่ทำเนียบรัฐบาล ไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการนี้รัฐบาลจะคิกออฟเริ่มเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จากนั้นในไตรมาสที่ 4 จะเริ่มเติมเงินในวอลเล็ตของประชาชน 50 ล้านคน และให้เริ่มใช้งานผ่านซุปเปอร์แอพที่รัฐาลออกแบบไว้

 โดยโครงการนี้จะมีผลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลในปี 2568 โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 1.2 – 1.8%

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาต่อเนื่องกันตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2568 ถือว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้สูงกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจไทยที่หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 นั้นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยนั้นขยายตัวได้ประมาณ 2% เท่านั้น ต่ำกว่าระดับศักยภาพที่ควรจะขยายตัวได้ในระดับ 4 – 5%

ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาการขยายตัวต่ำของเศรษฐกิจไทยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาก่อนการเกิดโควิด-19 เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจแต่ก็จำเป็นที่ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่

หวังดันเศรษฐกิจโต 5% 

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังกล่าวว่าหลังจากออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วรัฐบาลตั้งความหวังเต็มที่ว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจไทยจะจุดติดและขับเคลื่อนได้และกลับไปขยายตัวได้ใกล้เคียงกับระดับ 5% ต่อปีตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ตอนแรก  

นอกจากนี้รมช.คลังยังกล่าวถึงสาเหตุที่รัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจาก  เศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพ อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะขยายตัวที่ระดับ2.7% ต่อปี เป็นระดับที่ต่ำกว่าที่หลายหน่วยงานเคยประเมินไว้ และมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต เมื่อพิจารณาเทียบ GDP ในไตรมาสที่ 4 กับ GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ที่ขจัดผลของฤดูกาล (Seasonally Adjusted) พบว่า GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 หดตัว 0.6%

ชี้ดอกเบี้ยสูงกดดันเศรษฐกิจ

นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายจากทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ การฟื้นตัวของรายได้ประชาชนที่ไม่เท่ากันหลังจากช่วงโควิด19 ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ช้า

 ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการฯ เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ เศรษฐกิจให้กระจายตัวไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน ในขอบเขตและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจปัจจุบัน ควบคู่กับการระมัดระวังและป้องกันความเสี่ยงทางด้านการคลัง รวมถึงมีแนวทางในการช่วยลดผลกระทบดังกล่าว เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวม ตลอดจนรักษาวินัยการเงิน การคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด

โดยโครงการฯ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ เช่น กลุ่มเปราะบาง เกษตรกร ฯลฯ ส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวและชุมชนมีความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ สามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งสร้างและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุน การพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วย

..แม้ว่ากระทรวงการคลังและทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาลจะคาดการณ์ว่ามาตรการเศรษฐกิจทั้งสองมาตรการจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือการติดติดและกำกับโครงการให้สามารถสร้างผลบวกกับเศรษฐกิจในวงกว้างและเกิดประโยชน์ต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติได้มากที่สุด

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

คำเดียวสั้นๆ "แฟนสาวจาค็อบ" พูดต่อหน้า "รถถัง" หลังชวดแชมป์โลก

เผยคำพูด แฟนสาวของ จาค็อบ สมิธ ที่พูดต่อหน้า รถถัง จิตรเมืองนนท์ หลังฟาดปากกันในศึกมวยไทย รุ่นฟลายเว...

กรมวิชาการเกษตร ระดมแผนเตรียมพร้อม ส่งลำไยเจาะตลาดจีน

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรเร่งขับเคลื่อนนโยบายผัก ผลไ...

ผลบอล "บาเยิร์น มิวนิก" ไม่พลาด บุกเชือด "ซังต์ เพาลี" รั้งจ่าฝูงบุนเดสลีกา

"เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิก ทำได้ตามเป้า บุกมาเอาชนะ ซังต์ เพาลี เก็บ 3 คะแนนสำคัญ รั้งจ่าฝูง บุนเดสลี...

ส่องขุมทรัพย์ที่ดิน 'รถไฟ' 9.6 หมื่นล้าน จ่อประมูลสร้างรายได้เชิงพาณิชย์

การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) นับเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่มีทรัพย์สินที่ดินทั่วประเทศจำนวนมาก และยังเป็น...