ลุ้น ‘ทองคำ’ ออลไทม์ไฮรอบใหม่ จับตาผลประชุมเฟด 13-14 ธ.ค. ‘หยุดขาขึ้นดบ.’

วานนี้ (4 ธ.ค.) ราคาทองคำทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (ออลไทม์ไฮ) ในช่วงเช้าขึ้นแรงที่ระดับ 2,144 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทะลุไฮเดิมทำไว้ที่ 2,078 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ทองคำในประเทศปรับตัวมาใกล้ระดับ 35,000 บาท แต่จากนั้นราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมาบ้างจากแรงขายทำกำไร 

หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แถลงการณ์อาจจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยสหรัฐได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ตลาดคาดเฟดอาจลดดอกเบี้ยสหรัฐเร็วขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 หรือต้นปีหน้าทันที ส่งผลให้บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวลง เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายก สมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า หลังจากราคาทองคำทำออลไทม์ไฮแล้ว อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นจากในสัปดาห์ก่อนกองทุน SPDR ขายทองคำราว 3.46 ตัน 

ขณะที่แนวโน้มราคาทองคำหลังจากนี้มองยังเป็นขาขึ้นชัดเจนไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า หากเฟดยังคงดอกเบี้ยสหรัฐในการประชุมเฟดเดือนธ.ค. (13-14  ธ.ค.นี้)  มองว่าทั้งราคาทองคำในประเทศและต่างประเทศยังมีโอกาสทำออลไทม์ไฮครั้งใหม่  

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีนหน้ายังคงต้องมาประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าจะเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยสหรัฐเร็วกว่าเดิมหรือใหม่ เพราะตอนนี้ตลาดคาดเฟดมีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยสหรัฐในช่วงต้นปีหน้าทันที โดยจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในปีหน้าพุ่งต่อได้       

ขณะที่ ปลายปีนี้คาดราคาทองคำ ต่างประเทศ ยังยืนเหนือระดับ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับ 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศมีโอกาสต่ำกว่าระดับ 34,000 บาท เป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากค่าเงินบาทสิ้นปีนี้คาดเคลื่อนไหวระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เป็นการอ่อนค่าจากช่วงต้นปี 

นายจิตติ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอย่างไม่เคยเจอมาก่อนในรอบ 10 ปี ปัจจุบันค่าเงินบาทผันผวนมากกว่า 10% โดยช่วงต้นปีมานี้ยังแข็งค่าที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าสูงสุดเดือนพ.ย. อยู่ที่ 37 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจุบันกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ จากภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังไม่ฟื้นกำลังซื้อยังไม่พอ และในภาวะทองคำปรับตัวสูงขึ้นที่ระดับดังกล่าวถือว่าสูงมากเกินไปที่คนทั่วไปไม่มีเงินเหลือมากพอที่จะซื้อทองเก็บสะสม หรือนักลงทุนยังไม่กล้าเข้ามาเก็งกำไร  หรือบริษัทขนาดใหญ่ซื้อทองเป็นของขวัญแจกในเทศกาลปีใหม่ปีนี้อาจซื้อน้อยกว่าปีก่อน

คาดว่าช่วงปีใหม่ยอดขายทองคำของธุรกิจค้าทองคำในประเทศยังไม่กระเตื้องขึ้นจากปีก่อน

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หลังราคาทองคำพุ่งไปทำออลไทม์ไฮแล้ว ราคาทองจะปรับตัวลดลงมาบ้างจากแรงขายทำกำไร แต่ความต้องการซื้อทองคำยังแข็งแกร่งทำให้ทองคำยืนเหนือ 2,070 ดอลลาร์ต่อออนซ์  นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี และทิศทางตลาดคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าคาดการณ์ช่วงก่อนหน้า เป็นช่วงไตรมาสแรกปี 2567 และในช่วงนั้นราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง

สิ้นปีนี้ มองว่าราคาทองคำ ต่างประเทศยังมีแนวต้านอยู่ที่ 2,120-2,144 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งแนวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ต้องรอการทดสอบอีกครั้ง แนะนำนักลงทุนไม่ควรไล่ราคาให้รอจังหวะซื้อที่ 2,070-2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ส่วนราคาทองคำในประเทศมองแนวต้าน 35,000-35,400 บาท (ค่าเงินบาท 34.85 บาทต่อดอลลาร์ ณ 4 ธ.ค. 2566 เวลา 10.00น.) แนะนำ นักลงทุนเข้าซื้อที่ แนวรับ 34,200-33,850 บาท

นายยุทธพล  ชุลีคร  ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน  บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมกองทุนทองคำหากเปรียบกับกองทุนทองคำของ บลจ.ยูโอบี อย่าง กองทุน  UOBSG ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.14% ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา สอดล้องกับทิศทางการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (Gold Spot)

แต่เรายังคงมุมมองการลงทุนทองคำไว้ที่ระดับ Neutral หรือ คงน้ำหนักการลงทุน 

เพราะมองว่าราคาทองคำในปัจจุบันได้รับข่าวปัจจัยเชิงบวกจากภาพการดำเนินดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่ผ่อนคลายลงไปพอสมควรแล้ว เช่นเดียวกับความเสี่ยงจากภาวะความตึงเครียดที่ยังคงอยู่   

บลจ. ยูโอบี ได้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในทองคำโดยอยู่ในช่วง IPO กองทุน Complex Return UGLDC1Y1 ที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากราคาทองคำได้ทั้งขาขึ้นขาลง สอดคล้องกับมุมมองของเราที่เชื่อว่าราคาทองคำมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบไซด์เวย์ ในระยะข้างหน้า 

แนะนำการลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้นแ ละแนะนำลงทุนในกองทุน UGLDC1Y1 ควบคู่กันไปด้วย

นายดนัย อรุณกิตติชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  ฝ่ายบริหารจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า กองทุนรวมทองคำ มีทิศทางปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลก (กองทุน BGOLD บลจ บัวหลัง +13.7% นับตั้งแต่ต้นปี) 

ทั้งนี้ ทองคำได้ประโยชน์จากทิศทางการอ่อนค่าเงินดอลลาร์ที่ปรับอ่อนค่าลงรวดเร็วหลังนักลงทุนคาดเฟดปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า และยังมีมุมมองระดับรักษาสัดส่วน (Neutral) 5-10% ของพอร์ตลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ต

และทิศทางเงินดอลลาร์ แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนเหมือนลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐฯ ที่ระดับ 5% ต่อปี และกองทุนทองคำอาจบวกไม่แรงในช่วง 1 เดือน ล่าสุด จากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ดังนั้น ยังไม่มีการออกกองทุนทองคำเพิ่มเติมแต่อย่างใด 

นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กองทุน K-GOLD-A(A) ปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี YTD +7.60% ซึ่งใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น +8.64% (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 66) โดยส่วนต่างมาจากค่าใช้จ่ายและการสำรองสภาพคล่องของกองทุน อย่างไรก็ตามกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของสกุลเงินบาทในปีนี้

บลจ. กสิกรไทย ไม่ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทองคำในพอร์ตแต่มีสัดส่วนทองคำไว้เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และ ณ ปัจจุบันยังไม่มีแผนการออกกองทุนทองคำใหม่ เพราะว่า ปัจจุบันกองทุนทองคำของ บลจ. กสิกรไทยมีกองทุนทองคำทั้งแบบสะสมมูลค่า (K-GOLD-A(A)), แบบจ่ายปันผล (K-GOLD-A(D))  และสำหรับลดหย่อนภาษี (K-GD-RMF) เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนครบถ้วนอยู่แล้ว 

ปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย มีมุมมอง Slightly Positive สามารถลงทุนได้สำหรับผู้ลงทุนใหม่และสามารถลงทุนเพิ่มได้สำหรับผู้ลงทุนเดิมโดยมีสัดส่วนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตการลงทุน

แต่อย่างไรก็ตามแนะนำให้ลงทุนในทองคำเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต ในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง แต่ไม่ใช่เพื่อการเก็งกำไรและมองเป้าหมายราคาทองคำปี 2567 ที่  2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ