สหรัฐออกกฎสกัด แบตเตอรี่ EV จีน ตั้งเงื่อนไขนิติบุคคลต่างประเทศที่น่าวิตก

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2566 รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศกฎระเบียบใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดหรือป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตรถอีวีใช้แบตเตอรี่จากจีนหรือบริษัทในต่างประเทศที่มีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีหน้า 2567 เป็นต้นไป

บลูมเบิร์กระบุว่า แนวทางใหม่นี้กำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์อีวีที่สามารถขอรับเครดิตภาษีเงินคืน 7,500 ดอลลาร์ได้นั้น รถอีวีจะต้องมีแบตเตอรี่ที่ประกอบ หรือมีส่วนประกอบที่มาจากบริษัทต่างชาติได้ไม่เกิน 25% เท่านั้น โดยสหรัฐระบุถึงบริษัทต่างชาตินี้ว่าเป็น 'นิติบุคคลต่างประเทศที่น่าวิตก' หรือ "Foreign Entity of Concern" (FEOC)  

ข้อกำหนดนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีหน้า 2567 เป็นต้นไป ก่อนจะเพิ่มการจำกัดให้ครอบคลุมไปถึงซัพพลายเออร์ด้านแร่และวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ เช่น แร่นิกเกิลและลิเธียม ในปี 2568 

รายงานระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายในปัจจุบันรอดจากกฎนี้ไปได้ มีเพียงไม่กี่รายเช่น ฟอร์ด มอเตอร์ ซึ่งคาดว่ารถยนตอีวีรุ่น มัสแตง Mach-E จะเข้าข่ายตามกฎไม่สามารถขอรับเครดิตภาษีเงินคืนได้ ฃ

สำหรับนิยามของ FEOC ในเบื้องต้นนั้น หมายถึงนิติบุคคลใดก็ตามที่มีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ หรือมีรัฐบาลจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือมีรัฐบาลจีนถือหุ้นอย่างน้อย 25% โดยจะครอบคลุมถึงการผลิตทั้งหมดในจีน ส่วนบริษัทในต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซียและออสเตรเลียนั้น จะรอดพ้นจากนิยาม FEOC หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลจีน 

ทั้งนี้ ความพยายามจำกัดห่วงโซ่อุปทานของจีนเริ่มมีมาตั้งปีที่แล้ว เมื่อสภาคองเกรสได้อนุมัติร่างกฎหมายว่าด้วยการลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) วงเงิน 4.3 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเดือน ส.ค. 2565 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างเครดิตภาษีของรถยนต์ EV

ในครั้งนั้นมีการส่งสัญญาณว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีการระงับเครดิตภาษี หากส่วนประกอบของแบตเตอรี่รถยนต์ EV ถูกผลิตหรือประกอบขึ้นจาก “นิติบุคคลต่างประเทศที่น่าวิตก” หรือหากแบตเตอรีนั้นมีแร่ธาตุสำคัญซึ่งได้มาจากการสกัด แปรรูป หรือรีไซเคิลโดยนิติบุคคลต่างประเทศที่น่าวิตก

สื่อต่างประเทศรายงานว่าแม้จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศ แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การดันสหรัฐให้ออกจากห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรีของจีน

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ