'TDRI' ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย 'ศักยภาพเติบโตต่ำ' นโยบายแจกเงินแก้ปัญหาผิดจุด

นโยบายดิจิทัลวอลเล็กแจกเงินคนละ 1 หมื่นบาทที่รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการแจกเงิน 50 ล้านคนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ข้อมูลว่าโครงการนี้จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้โดยสร้างการหมุนในระบบเศรษฐกิจของเงิน 5 แสนล้านบาทให้ได้ประมาณ 3.3 เท่า ขณะที่ข้อมูลที่มีการเก็บข้อมูลโครงการรัฐที่เคยแจกเงินมาก่อนหน้านี้โดยสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) เก็บข้อมูล "ตัวคูนทางการคลัง" ไว้ระบุว่าโครงการแจกเงินให้ประชาชนทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 1 เท่าและมีผลต่อเศรษฐกิจลดลงเรื่อยๆในปีต่อไป

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในหัวข้อ "Building a Foundation for Exponential Growth" ในงาน  "Thailand Competitiveness Conference 2023 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) สาระสำคัญตอนหนึ่งว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่าการที่รัฐบาลคาดหวังว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจหลายๆรอบนั้นไม่สามารถคาดหวังได้ เนื่องจากในทางเศรษฐศาสตร์มีการศึกษาแล้วเมื่อใส่เงินเข้าไปในระบบโดยแจกให้ประชาชนไปใช้จ่ายเป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำ โดยการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจที่คำนวณจากข้อมูลที่เรียกว่า “ตัวคูนทางการคลัง” ที่มีการเก็บข้อมูลโดยสำนักงบประมาณของรัฐสภา (เผยแพร่ในปี 2564)

ทีดีอาร์ไอชี้แจกเงินประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำ

พบว่านโยบายการแจงเงินให้ประชาชนทั่วไปแบบที่รัฐบาลจะทำนี้จะทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 1 เท่า ต่างจากการใส่เงินลงไปในระบบเศรษฐกิจด้วยวิธีการอื่นๆ ได้แก่ การใช้จ่ายทางตรงของรัฐที่หมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 2 เท่า การจ้างบุคลากรภาครัฐที่หมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 2 เท่า การแจกเงินคนจนเฉพาะกลุ่มจะหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 1.4 เท่า ซึ่งมากกว่าการแจกเงินให้กับประชาชนทั่วไปใช้จ่ายโดยตรง

ขณะที่ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่านโยบายการแจกเงินให้กับประชาชนทั่วไปอาจหมุนในระบบเศรษฐกิจได้เพียง 0.4 เท่าเท่านั้น

เมื่อถามว่าตัวเลขที่รัฐบาลอ้างว่าเม็ดเงินจะหมุนได้ 3.3 เท่านั้นมาอย่างไร เขาตอบว่าไม่มีที่มาที่ไปที่อ้างอิงได้

“ในความเป็นจริงแล้วหากนโยบายการแจกเงินให้กับประชาชนแล้วสามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้ต่อเนื่องทุกประเทศในโลกนี้ก็คงจะทำกันหมดแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ง่ายแบบนั้น ไม่สามารถจะคาดหวังได้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตแข็งแรงจากนโยบายการแจกเงิน” นายสมเกียรติ กล่าว

เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาศักยภาพตกต่ำ

เขากล่าวต่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประมาณ 2.8% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐศาสตร์หลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาศักยภาพในการเติบโตต่ำลง ไม่ใช่ปัญหาการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ

ในทางเศรษฐศาสตร์การแก้ปัญหาศักยภาพทางเศรษฐกิจลดลงจะต้องทำในเรื่องของ “อปุทาน” โดยเน้นไปในเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่ใช่ใช้นโยบายแก้ปัญหาในด้าน “อุปสงค์” โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  

ยกทฤษฎีปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้หากรัฐเข้าใจปัญหาที่แท้จริง แนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจะไม่ใช่การเอาเงินใส่มือคนให้ไปใช้จ่าย แต่ต้องใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ  ศ.โรเบิร์ต โซโล  ศาสตราจารย์ศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2018   ซึ่งกล่าวว่าการยกระดับการเติบโตโตทางเศรษฐกิจ จะต้องสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยประเทศที่มีความเจริญก้าว หน้าทางเทคโนโลยีสูงกว่า จะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือรายได้ต่อหัวในระยะยาวที่สูงกว่าที่เน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลิตภาพการผลิตและความสามารถของแรงงานในประเทศนั้นๆ เพื่อสร้างการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้มองว่าที่ผ่านมาการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายครั้งโดยการแจกเงินเพื่อเพิ่มการบริโภคไม่ช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย แต่เป็นเพียงแค่นโยบาย “Quick Win” ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ในระยะสั้นๆแล้วกลับไปมีปัญหาเหมือนเดิมเพราะปัญหาต่างๆที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ได้ถูกแก้ไข

 

“การทำแค่เรื่อง Quick Win  ของรัฐบาลจะทำให้เราเดินตรงข้ามกับเป้าหมายระยะยาวของประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เรื่องพักหนี้เกษตรกรไม่ได้ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างภาคเกษตร การลดราคาน้ำมันดีเซล ไม่ได้ช่วยส่งเสริมการลดคาร์บอน การแจกเงินให้คนใช้จ่ายได้ได้ช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ”

 

ขณะที่นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอกล่าวว่าในการหาแหล่งเงินของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยที่รัฐบาลเลือกใช้การออก พ.ร.บ.เงินกู้นั้นในแง่ของกระบวนการเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากการออก พ.ร.บ.มีกลไกการกลั่นกรอง ซึ่งต่างจากรูปแบบอื่นๆ ที่อาจจะมีกลไกการตรวจสอบไม่ดีเท่า เช่น การไปกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือ การขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ หรือในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งมักเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณ หรือ แก้ไขหลักเกณฑ์วินัยทางการเงินการคลัง

ส่วนในแง่ที่ว่ารัฐบาลควรจะกู้หรือไม่ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้เป็นของสภาฯเป็นของผู้แทนของประชาชน เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่ทางสภาฯจะต้องพิจารณาความเหมาะสมตามกระบวนการในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ความจำเป็น แหล่งที่มาของเงิน

โดยในมุมมองทางวิชาการ ตนคิดว่าสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในขณะนี้อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กระสุนทางการคลัง และวิธีการกระตุ้นในรูปแบบการแจกเงินนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพที่ต่ำ นำไปสู่การหมุนเวียนในระดับที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ ขณะที่ในส่วนของการคืนภาษีสำหรับคนที่ไม่ได้รับเงินดิจิทัล จะคล้ายกับโครงการช็อปดีมีคืน ซึ่งมีประสิทธิภาพที่แย่กว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลเสียอีก

ดัน GDPเต็มที่1.5%ปีแรก ปีต่อๆผลต่อเศรษฐกิจน้อย 

ทั้งนี้ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินนั้นจะลดลงเรื่อยๆหลังจากปีแรกที่มีมาตรการ โดยจากการคำนวณปีแรกจะมีผลช่วยให้จีดีพีขยายตัว 0.6%-1.5% ปีที่ 2 ลดลงเหลือ 0.3%-0.8% ปี 3 เหลือ 0.2 – 0.4%  และ ปีที่ 4 เหลือแค่ 0.1 – 0.2% หรือแทบจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ โดยการหมุนของเงินดิจิทัลในระบบเศรษฐกิจจะมีผลต่อการขยายตัวของจีดีพี โดยจากการคำนวณพบว่าจะหมุนได้ 0.43-0.94 รอบ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้จ่าย ร้านค้าที่เข้าโครงการ หรือการกำหนดกลุ่มคนที่จะใช้จ่ายซึ่งจะมีผลต่อการหมุนของเงินในโครงการด้วย

เมื่อถามว่าข้อมูลของรัฐบาลระบุว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 1.5% ทุกปี และจะสามารถใช้หนี้จากการออก พ.ร.บ.นี้ได้ในระยะ 4 ปีของรัฐบาล นายนณริฏ กล่าวว่า โครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจโตเพิ่มได้ 1.5% แค่ปีแรกที่เริ่มโครงการเพียงปีเดียวและต้องมีการใช้จ่ายอย่างเต็มศักยภาพเพราะตัวเลข 1.5% คือเงินต้องหมุนได้ถึงเกือบๆ1 รอบ

ส่วนปีต่อๆไป ผลของโครงการนี้ต่อระบบเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่องได้1.5% ทุกปี จากที่คำนวณ เต็มที่ก็ได้ปีแรกปีเดียว และจะกระทบต่อการตั้งงบประมาณคืนเงินกู้ในปีต่อๆไปอย่างแน่นอน

“ข้อมูลประสิทธิภาพของของโครงการแจกเงินของรัฐที่จะสร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจ กับข้อมูลจากอดีตที่รัฐเคยใช้โครงการลักษณะนี้มาถือว่าแตกต่างกันมากจนน่ากังวลมาก แต่เมื่อรัฐบาลจะออกกฎหมายนี้ก็เป็นเรื่องที่สภาจะต้องพิจารณา ในทางวิชาการเราทำได้แต่ให้ข้อมูล” นายนณริฏ กล่าว

 

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...