‘สุดาวรรณ’ ผ่าแผนกระตุ้นเที่ยวไทยไฮซีซัน! ดันวีซ่าเฟส 2 - ขยายเวลาเปิดผับ

เดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่สร้างรายได้รวมการท่องเที่ยว 4 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศ 1 ล้านล้านบาท

เริ่มด้วยประเด็นฮอต! นโยบาย “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ว่าจะมีการปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมให้สามารถใช้จ่ายหมวดการท่องเที่ยวได้หรือไม่? สุดาวรรณ ระบุว่า สำหรับนโยบายนี้ อยู่ระหว่างรอสรุปความชัดเจนเรื่องเงื่อนไข ที่ผ่านมามีผู้เสนอแนวคิดปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าให้สามารถนำเงินดิจิทัลบางส่วนไปใช้จ่ายในหมวดการท่องเที่ยวได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น กันเงินดิจิทัลบางส่วน 3,000 บาทให้ใช้จ่ายหมวดการท่องเที่ยวได้ ส่วนผู้ลงทะเบียนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะเลือกใช้จ่ายหมวดการท่องเที่ยวสูงสุดเต็มเพดาน 3,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 7,000 บาทนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าอย่างอื่น หรือสุดท้ายแล้วจะเลือกนำเงินดิจิทัลไปใช้จ่ายซื้อสินค้าอย่างอื่นที่ไม่ใช่หมวดการท่องเที่ยว เต็มวงเงินดิจิทัล 10,000 บาทก็ได้เช่นกันตามความต้องการของผู้ลงทะเบียน โดยแนวคิดเหล่านี้ต้องขอหารือกันก่อนเพื่อตกผลึกข้อสรุปเงื่อนไขอีกที

ด้านนโยบายและแผนงานกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติมต่อเนื่องของรัฐบาล ล่าสุดเตรียมออก “มาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า เฟส 2” ยืนยันว่าจะมีออกมาอย่างแน่นอน! โดยอาจจะเป็นการขยายวันพำนักในประเทศไทยช่วงไฮซีซันนี้ แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติตลาดเป้าหมาย เบื้องต้นยังระบุไม่ได้ว่ามีรายชื่อประเทศไหนบ้าง ต้องรอข้อสรุปอย่างเป็นทางการก่อนประกาศภายในเร็วๆ นี้

หลังจากรัฐบาลผลักดันมาตรการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า เฟส 1 ไปแล้ว ด้วยการประกาศยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือ “วีซ่า-ฟรี” เพื่อการท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน เป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566 – 29 ก.พ. 2567

จากสถิติตลาดหลัก “นักท่องเที่ยวจีน” เดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 8 ต.ค. 2566 มีจำนวนสะสม 2.58 ล้านคน ยังห่างไกลยอดเดิมเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งมีจำนวนเดินทางเข้าไทยมากถึง 11 ล้านคน โดยผลตอบรับมาตรการวีซ่า-ฟรีแก่ชาวจีน ขณะนี้รอประเมินตลาดหลังช่วงโกลเด้นวีคหยุดยาววันชาติจีน (1 ต.ค.) ซึ่งบางวันเดินทางเข้าไทยสูงถึง 18,000 คนต่อวัน จากก่อนหน้ามีวีซ่า-ฟรี เดินทางเข้าไทยเฉลี่ย 7,000 คนต่อวัน ว่าจะชะลอการเดินทางเพราะเพิ่งผ่านโกลเด้นวีค หรือเพราะได้รับผลกระทบจาก “เหตุกราดยิง”

“ทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นคนทำงานเร็ว แอคชั่นเร็ว ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการผลักดันมาตรการวีซ่า-ฟรีแก่ชาวจีนและคาซัคสถาน ที่มีการประกาศใช้เป็นมาตรการแรกๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว โดยหลังจากเกิดเหตุกราดยิงที่สยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ต.ค. นายกฯ ได้กำชับให้เร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว”


นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยังมีแผนทำ “โปรโมชัน” กับภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยอาจจะร่วมกับสายการบิน หรืออาจจะทำโปรโมชันกับนักท่องเที่ยวโดยตรง เช่น “แจกวอยเชอร์” แก่นักท่องเที่ยว ตอนนี้พยายามคิดหลายๆ ออปชั่นเอาไว้

ส่วนนโยบายของนายกฯ เศรษฐา เรื่องแนวทาง “การขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานบริการ” เช่น ผับ และบาร์ ไม่ต้องลักลอบเปิดเกินเวลา เพื่อช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางความบันเทิง” (Entertainment Hub) ตามเป้าหมายของรัฐบาล ความคืบหน้าขณะนี้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำร่องการกำหนดโซนใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่จะอนุญาตให้มีการขยายเวลาเปิดให้บริการ ซึ่งมีข้อเสนอหลากหลายว่าควรอนุญาตให้เปิดถึงเวลา 04.00 น. หรือบางมุมเสนอให้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเลยก็มี

สุดาวรรณ เล่าเพิ่มเติมว่า ด้าน “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) เตรียมยื่นของบฯ กลาง 600 ล้านบาท เพื่อนำไปทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดอีเวนต์งานเทศกาล กระตุ้นภาคการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศในช่วงไฮซีซันนี้ผ่าน 4 โครงการ ได้แก่

1. อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจส์ (Amazing Thailand Passport Privileges) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับคือการรับรู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการชอปปิงเพิ่มขึ้น และขยายลูกค้าใหม่จากตลาดต่างประเทศให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว

2. ไทยแลนด์ เฟสติวัล เอ็กซ์พีเรียนส์ (Thailand Festival Experience) ใน 5 ภาค งบประมาณ 200 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับ ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท

3. มาร์เก็ตติง แอนด์ พีอาร์ ฟอร์ซ-มูฟ (Marketing & PR Forced-move) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับจากตลาดทั่วโลกทุกทวีป 30,000 ล้านบาท

4. เดอะ ลิงก์ โลคอล ทู โกลบอล (The Link Local to Global) ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท

คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ



หมวดเดียวกัน

ระเบิด ‘เพจเจอร์’ เทคโนโลยียุคเก่าที่กลับมาได้รับความนิยมในวงการแพทย์

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ความเป็นที่นิยมของ “โทรศัพท์มือถือ” จนกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักของโล...

เปิดเหตุผล 'ไปรษณีย์ไทย' ทำไมโดดร่วมสมรภูมิ 'เวอร์ชวลแบงก์'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย.) เป็นวันปิดรับคำขออนุญาตจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (เวอร์ชวลแ...

แกะกล่อง 'iPhone 16' และ 'iPhone 16 Pro Max' ส่องจุดเด่น มีลูกเล่นอะไรใหม่

แกะกล่องเป็นกลุ่มแรกๆ กับ iPhone 16 และ iPhone 16 Pro Max ที่วันนี้ KT Review จะพาไปดูว่าหนึ่งรุ่นเร...

‘ไมโครซอฟท์ - กูเกิล’ มอง ‘Digital Trust’ วาระท้าทาย ชีวิตบนโลกดิจิทัล

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดงาน “60 Years OF EXCELLENCE” ฉลองครบรอบ 60 ปี เชิญผู้นำจา...