สภาวะน่าสบายของผู้ใช้อาคาร | ศิริวรรณ สืบนุการณ์
วันที่ส่ง: 30/09/2023 - ผู้เขียน: กรุงเทพธุรกิจ
จากการสำรวจอาคารจำนวนมาก ทั้งในประเทศไทยและอีกหลายประเทศพบปัญหาสำคัญที่คล้ายกัน คือ อาคารส่วนใหญ่จะตั้งค่าอุณหภูมิต่ำกว่าความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น หรืออาคารบางแห่งตั้งค่าอุณหภูมิสูงขึ้นเพื่อประหยัดพลังงานภายในอาคาร
อุณหภูมิอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไปทำให้ผู้ใช้อาคารรู้สึกไม่สบาย และเป็นหนึ่งในกลุ่มโรค Sick Building Syndrome (SBS) หรือภาวะความเจ็บป่วยจากการใช้อาคาร ทำให้คนมีอาการเหนื่อยล้า อารมณ์แปรปรวน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
“สภาวะน่าสบาย” คือ สภาพจิตใจที่แสดงความพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมทางความร้อน สามารถประเมินจากการใช้ผลโหวตความรู้สึกเชิงความร้อนรายบุคคล
โดยปกติสภาวะน่าสบายของมนุษย์ที่กำหนดโดย ASHRAE มีค่าอุณหภูมิอากาศอยู่ในช่วง 24-26˚C และมีค่าความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 60%
อย่างไรก็ตาม สภาวะน่าสบายของคนไทยซึ่งอยู่ในสภาพอากาศแบบร้อน-ชื้นสามารถยอมรับค่าอุณหภูมิอากาศที่สูงกว่า โดยมีค่าอุณหภูมิอยู่ในช่วง 24-27˚C (เมื่อความเร็วลมอยู่ที่ 0.2 เมตรต่อวินาที) และค่าความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 50-70%
อย่างไรก็ตาม ช่วงความรู้สึกน่าสบายของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น อัตราการเผาผลาญของร่างกาย ลักษณะความหนาของเสื้อผ้าที่สวมใส่ ประสบการณ์และความคุ้นชินที่มีต่อสภาพอากาศ
ความแตกต่างของปัจจัยดังกล่าว ส่งผลต่อกระบวนการแลกเปลี่ยนอุณหภูมิระหว่างร่างกายคน และสภาพแวดล้อมเพื่อรักษาสมดุลอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้น อาคารที่มีกลุ่มผู้ใช้อาคารหลากหลายประเภท หลายเชื้อชาติ หรือมีความแตกต่างของช่วงวัย ย่อมเกิดปัญหาความไม่พึงพอใจต่อสภาพอากาศในพื้นที่ใช้งาน
ผู้จัดการอาคารหลายแห่งมักประสบปัญหากับการจัดการข้อร้องเรียนดังกล่าว ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาและควบคุมสภาพอากาศในพื้นที่ใช้งานให้อยู่สบายที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้อาคารที่หลากหลายได้
ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ นักวิจัยหลายคนได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาโดยใช้เทคโนโลโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรวบรวมข้อมูลความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคารในขณะใช้งานจริง สำหรับการประเมินสภาวะน่าสบายของกลุ่มผู้ใช้อาคาร และเพื่อควบคุมการทำงานของระบบการจ่ายลมเย็นในระบบปรับอากาศ
แม้ว่าที่ผ่านมานักวิจัยจะมีความพยายามในการนำเทคโนโลยี AI และข้อมูลเชิงสรีรวิทยาของบุคคลมาใช้ในการทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคาร เทคโนโลยีดังกล่าวยังมีข้อจำกัดเนื่องจากถูกพัฒนาการทำนายเฉพาะบุคคล
รวมถึงการเก็บข้อมูลแบบเดิมมีการติดตั้งเครื่องมือวัดบนร่างกาย หรือติดตั้งเครื่องมือวัดใกล้กับตัวบุคคลในตำแหน่งใบหน้ามองตรง ซึ่งอาจสร้างความอึดอัดใจแก่ผู้ใช้อาคารได้
ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคารหลายคนที่มีความหลากหลาย นางสาวกวีวรรณ อินทรชาธร นักศึกษาปริญญาเอก ภายใต้การดูแลของที่ปรึกษาโดย รศ. ดารณี จารีมิตร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ศีตภา วัชราภินชัย จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ทีมวิจัยได้พัฒนาวิธีการตรวจจับและทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคารแบบไร้สัมผัส โดยไม่รบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยการรวบรวมข้อมูลเชิงสรีรวิทยาที่อาศัยการถ่ายภาพอินฟราเรดจากระยะไกล และนำเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาช่วยในการประมวลผลภาพ
เพื่อจำแนกและทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคารให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น สามารถแก้ไขข้อจำกัดของเทคโนโลยีเดิม และด้วยระยะทางการติดตั้งเครื่องมือที่ไกลขึ้นทำให้สามารถตรวจจับและทำนายผลหลายคนพร้อมกันได้
คณะทีมวิจัยได้ใช้การเรียนรู้เชิงลึก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงประเภทโครงข่ายประสาทเทียม และภาพถ่ายความร้อนบริเวณใบหน้าจากกล้องอินฟราเรด สำหรับการประเมินความรู้สึกร้อน-หนาวของแต่ละบุคคล
เมื่อระบบได้รับข้อมูลภาพจากกล้องอินฟราเรดจะทำการตรวจจับใบหน้าที่ปรากฏอยู่ในภาพ แล้วจะทำการจำแนกความรู้สึกของแต่ละบุคคลตามใบหน้าที่ตรวจจับได้ โดยอาศัยข้อมูลอุณหภูมิอินฟราเรด จากนั้น จะแสดงผลการประเมินความรู้สึกร้อน-หนาวในระดับบุคคลของทุกคนในพื้นที่ที่ระบบตรวจพบ
ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของ “i-Thermal sense: ระบบ AI ตรวจจับและทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของผู้ใช้อาคารในขณะใช้งานจริง” ซึ่งเน้นการทำงานแบบไร้สัมผัสที่สะดวกต่อผู้ใช้อาคาร สำหรับผลการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ i-Thermal sense ให้ผลลัพธ์ประสิทธิภาพที่ดีมากในการทำนายในระดับบุคคล และสามารถรับมือกับปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลได้น่าพอใจ
โดยสามารถทำนายความรู้สึกร้อน-หนาวของบุคคลใหม่ได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าจะทำการตรวจจับจากระยะไกลและบุคคลที่ใช้ทดสอบมีความแตกต่างหลากหลายของมุมมองใบหน้า ทรงผม หรือการสวมแว่นตา
ในปัจจุบัน ทีมวิจัยกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาการเชื่อมเทคโนโลยีนี้ กับระบบการควบคุมการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เพื่อต่อยอดไปสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดยเน้นการใช้งานในพื้นที่สำนักงานและสถานศึกษาก่อน
เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาคาร ทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่อยู่สบายแก่ผู้ใช้อาคารและลดการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศได้.
คำแถลงปฏิเสธความรับผิดชอบ: ลิขสิทธิ์ของบทความนี้เป็นของผู้เขียนต้นฉบับ การเผยแพร่ซ้ำบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน หากมีการละเมิดกรุณาติดต่อเราทันที เราจะทำการแก้ไขหรือลบตามความเหมาะสม ขอบคุณ
‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำ ‘เศรษฐกิจเวียดนาม’ เสียหายกว่า 5 หมื่นล้านบาท
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พายุไต้ฝุ่นยางิ ถล่มเมียนมา เวียดนาม ลาว และไทยด้วยกำลังลมที่แรงมาก และทำใ...
ท่วมหนักสุด 'ในรอบ 3 ทศวรรษ' พายุบอริสถล่มยุโรป ผลกระทบจากโลกร้อน
จากหย่อมความกดอากาศต่ำที่ชื่อว่า “พายุบอริส” ส่งผลให้มีฝนตกหนักจากออสเตรียไปจนถึงโรมาเนีย จนเกิด “น้...
ฮามาสโวความสามารถสูง ทำสงครามกาซาต่อได้แม้สูญเสีย
นายโอซามา ฮัมดัน ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่นครอิสตันบูลของตุรกี ระบุ “ขบวนก...
สงครามสู้ฮามาสและยอดส่งออกร่วง กดดันจีดีพี ‘อิสราเอล’ Q2 ให้โตเพียง 0.7%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอิสราเอลในไตรมาสที่สองชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไ...
ยอดวิว